วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

Angkor 27feb-6mar2014 part1



ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ที่เป็นแรงบัลดาลใจ จากFacebookพี่ไกด์เถื่อนพาเที่ยว , Youtueของ Mr.Hotsia,  บ.Transasia Route ที่ช่วยเป็นแนวทางในการเดินทางครั้งนี้ และขอบใจมากๆสำหรับ เจ้าKLX250เพื่อนยาก ที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้สมบูรณ์



เมื่อเมษายนปีที่แล้ว ผมกับพี่ชาย ได้ขี่รถจ่ายกับข้าว2คัน ไปเที่ยวเมืองชายทะเลกัมพูชา ขี่กันไปเรื่อยๆ เจอจุดไหนน่าสนใจ ก็จอดแวะกันตลอดทาง เป็นการเดินทางที่ประทับใจมาก ได้พบได้เห็นสิ่งต่างๆ ทั้งผู้คน บรรยากาศที่ไม่เหมือนตามที่คิดไว้ ไม่มีภัยการเมืองใดๆตามที่ข่าวสารบ้านเมืองของเราบอกเล่ามา มันดีกว่าที่คิดไว้มาก จนทำให้อยากจะกลับไปเที่ยวสำรวจอีกซักที กะว่าจะไปให้รอบประเทศกัมพูชาเลย จึงได้เริ่มหาข้อมูลในเว็บต่างๆ หาแลกเงินUSใบละ1$และ5$ และหาช่วงเวลาเหมาะที่จะพักร้อนซัก8-9วัน เพื่อทริปสำรวจนี้




ในเดือนตุลาคม56 จึงกดขอvacในคอมฯ ไว้ช่วงวันที่27กุมภาพันธ์-6มีนาคม57 รวม9วัน ตามโปรแกรมที่ร่างคร่าวๆไว้ จากนั้นก็ชวนเพื่อนๆที่สนใจจะมาร่วมทริป จะเป็นเพราะเวลา9วัน ตามสไตล์จัดเต็มไหนๆก็ไปทั้งที โดยไม่มีคร่อมวันหยุดหรือเสาร์อาทิตย์ตามระบบงานทั่วไปด้วย ก็เลยทำให้คนที่สนใจ แต่หยุดยาวไม่ได้ พลาดโอกาสไป
วันลาก็มีแล้ว โปรแกรมก็เขียนแล้ว เงินก็แลกแล้ว รถก็พร้อมแล้ว นำรถข้ามด่านที่นี่ก็เคยทำมาแล้ว ข้อมูลก็ศึกษาแล้ว เออ!ไปคนเดียวก็ได้นี่หว่า ก็มันครบทุกอย่างแล้วนี่ จัดไป!


 
 

27feb14     04:50น ล้อหมุนจากบ้านที่มีนบุรี พอเข้า ถ.ร่มเกล้าที่จะถึงสนามบินสุวรรณภูมิ  โอ้วแม่เจ้า! นึกได้ว่า ลืมหยิบเล่มทะเบียนรถมาด้วย ต้องวนกลับมาบ้านอีกรอบเพื่อมาเอาเอกสารสำคัญนี้ ทั้งๆที่เตรียมเอกสารเพื่อการเดินทางทุกอย่าง ยัดใส่เป้คู่ชีพไว้มาเป็นอาทิตย์ แต่ไหงกลับลืมหยิมเข้าแฟ้มไว้ก็ไม่รู้  งงตัวเองมากๆ  ขี่ทิ้งไป32kmฟรีๆเลย ต้องเริ่มใหม่จากบ้านอีกรอบ ขี่เข้าสนามบิน ทะลุออกมาเส้นบางนาตราด ชลบุรี บ้านบึง ระยอง แวะกินข้าวเช้าที่จันทบุรี ผ่านตราด จนถึงด่านบ้านหาดเล็กเวลา11:40น ด้วยความเร็วที่100km/h ระยะทางราวๆ450km
ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเพื่อดำเนินการเรื่องเอกสารนำรถและคนออกจากฝั่งไทย และผ่านเข้าด่านฝั่งกัมพูชา ซึ่งถือว่าเร็วมาก จากนั้นขี่ไปอีกประมาณ260km เพื่อไปเมืองKampotจุดหมายของวันนี้  แวะมื้อเที่ยงตอน13:15น.ประมาณ50kmจากด่าน เป็นร้านขายอาหารริมทาง หลายร้านติดๆกัน  
จิบเบียร์Angkorเย็นๆกับข้าวราดแกง ก็ดูเข้ากันดี เริ่มเดินทางต่อ ถนนบางช่วงมีการขยายทาง มีกรวดลอย หลุมบ่อ ทรายหนาๆ แต่ดีที่ขี่เจ้าเพื่อนยากKLX250ไป มันเลยทำให้ทางยากๆกลับกลายเป็นขี่ได้ง่าย ไม่ต้องหลบ ไม่ต้องเบา ขี่รูดได้เลย


16:40น ขี่มาถึงภูเขาBokor แต่ถ้าขึ้นไป กว่าจะเที่ยวบนนั้นให้ครบคงมึดก่อน มันวังเวงด้วย  ขี่เข้าเมืองKampot หาที่พักแล้วเที่ยวในเมืองก่อนดีกว่า  ได้Guesthouseใกล้ๆกับตลาด  คืนละ 7$ ห้องพัดลม ที่เลือกนอนห้องพัดลมก็เพราะมันประหยัด และที่นี่อากาศก็ไม่ร้อนเหมือนเมืองไทย ชุดขี่รถก็จำเป็นต้องซักตากทุกวันเพราะมอมแมมจากการขี่ลุยฝุ่น การใช้พัดลมเป่ามันจะแห้งพร้อมใส่ในวันต่อไปได้ไวมาก ชุดขี่ถูกออกแบบให้แห้งไวอยู่แล้วด้วย จะได้มีชุดหล่อๆหอมๆไว้ขี่ทุกวัน
   
เข้าที่พัก อาบน้ำ ซักชุดขี่ แขวนตากพัดลมไว้ ออกมาขี่รถไปสำรวจรอบๆเมือง ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างจากคราวที่แล้วที่เคยมา เดินเล่นริมแม่น้ำ แวะตลาดหาของกิน  ในเมืองดูคึกคักดี ปลอดภัย อากาศดี นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรปยังเยอะเหมือนเดิม ทุกที่ๆพักมีwifiใช้ รู้สึกว่าจะ4Gกันแล้วด้วย นอนไวหน่อยเพราะวันนี้ขี่มาไกล แบบรวดเดียวถึง รวม  736 km






28feb14   กินมื้อเช้าตอน 07:30 ขี่ย้อนมาทางเมื่อวาน10km เพื่อขึ้นBokor ถนนทางขึ้นเขา มีโค้งให้เล่น ทางเรียบกริ๊ป เหมือนสนามแข่ง ได้ใช้งานแก้มยางดอกหนาม เกือบหมดหน้ายาง แต่แนะนำให้เล่นแค่สนุกๆพอ เพราะยังต้องขี่อีกหลายวัน  

การมาขี่รถไกลๆในต่างประเทศ และมาคนเดียวด้วย จำเป็นต้องมีวินัยเรื่องความปลอดภัย การถนอมรถ การบำรุงรักษา ทั้งตัวรถ สัมภาระ  สุขภาพ และความพร้อมของผู้ขี่ เป็นสิ่งสำคัญมาก จะพลาดให้เกิดปัญหาไม่ได้อย่างเด็ดขาด ปัญหาเล็กๆเพียงนิดเดียว จะกลายเป็นเรื่องใหญ่มากทันที รับประกันได้เลย


 
 
 
 
 
 
 
 


        

ตั้งกล้องถ่ายรูป คาสิโน โบสถ์คริสต์  วัดเก่า ฯลฯ อากาศเย็นสบาย ชมวิวทะเลบนยอดเขา เห็นนกเงือกคู่นึง บินผ่านหน้าไป ถ่ายไว้ไม่ทัน แสดงให้ถึงธรรมชาติป่าไม้ที่นี่ยังสมบูณร์มากๆ  อิ่มตาอิ่มใจเรียบร้อย ก็ขี่ลงมา เล่นโค้งอีกหน่อย เลี้ยวซ้ายขี่เข้าเมืองKampotเพื่อผ่านไปกรุงพนมเปญต่อ ด้วยระยะทางราวๆ150km วิวสองข้างทางเป็นท้องนาโล่ง บ้านเรือน ร้านค้า ความอุดมสมบูณร์  
การใช้ยานพาหนะที่นี่ ดูมันแปลกจากบ้านเรา ที่นี่นิยมขี่มอเตอร์ไซค์กันมาก โดยเฉพาะHonda Dream125 ดรัมเบรคหน้าหลัง เครื่องคาร์บิว สนนราคาที่ถามไว้ ของใหม่จะอยู่ราวๆ1,900$ หรือ6หมื่นกว่าบาท 
แล้วก็มีพวกรถเก่านำเข้า Honda Super Cub ที่เป็นรถในฝันของนักขี่บ้านเรา ที่อยากจะมีเก็บไว้เท่ห์ๆสักคัน ที่นี่ขอบอกว่า มันเยอะมาก อะไหล่เก่าก็เยอะ ของให้เล่นเพียบ ดูจากรูปเอาเองแล้วกัน พวกรถScooterก็เริ่มมี แต่ไม่ค่อยนิยม มันไม่อึดเหมือนรถขับโซ่ ที่จะดัดแปลงนำมาพ่วงกระบะทำรถโดยสาร  ขนสินค้า บรรทุกของเท่าบ้าน ฯลฯ เป็นต้น
 
 
 
 

พอเริ่มเข้าเขตกรุงพนมเปญ การจราจรก็คับคั่งเหลือเกิน วนดูเมืองเค้า เห็นถึงความเจริญ แหล่งค้าขาย โซนนักท่องเที่ยวจะติดริมแม่น้ำ ตึกสูงๆดูไฮเทค2ตึก อาคารสถานที่ราชการที่สร้างใหญ่โตมาก สวนสนุก โซนเมืองใหม่ คล้ายๆเมืองทองธานี มีลานทำกิจกรรม ห้างใหญ่

 มีการเปิดโชว์รถYamaha ทั้งรถเล็กและBigBike  มีรถมอเตอร์ไซค์จีนทรงsportสวยๆ  KTMก็มี  รถเก๋งSUV  เก๋งHybrid  แทบทุกที่มีมอเตอร์ไซค์จอดเยอะมาก ไม่แพ้ประเทศเวียตนาม จนเจอที่พักติดกลับตลาดไนท์มาเก็ต คืนละ8$
จัดแจงแปลงกาย อาบน้ำเปลี่ยนชุด ขี่ไปรอบเมือง วนมันทุกซอย จนเริ่มจำเส้นทางต่างๆได้ เริ่มรู้สึกว่า พออยู่ในเมือง รถ250ซีซีนี่ มันกลับใหญ่ไปซะนี่  ถ้าย่อเป็นรถบ้านๆได้ตอนนี้จะดีมาก




 เดินเล่นริมน้ำ มีลานออกกำลังกาย อากาศดี ผู้คนออกมาทำกิจกรรมกันเยอะ เราก็พลอยสนุกไปด้วย ตกค่ำเดินตลาดสด ก็ไม่แตกต่างจากตลาดบ้านเรา แต่ที่เหนือกว่าคือความสดของอาหาร ประเภทปลา บางชนิดบ้านเราหาไม่ได้ หรือตัวก็ใหญ่ไม่ถึง 
 
 
 
 
 
  
 
 
 
 
 
 


















 
 
 
 
 มาต่อที่ตลาดกลางคืน ขายพวกเสื้อผ้า ของฝากต่างๆ   ร้านของกินนั่งปูเสื่อ มีเวทีดนตรี ขับกล่อม เพลงคุ้นๆทำนองไทย แต่เนื้อร้องเขมร โดยไม่คิดอคติใดๆกับชาตินี้  คนที่นี่friendlyนะ มีหลายสิ่งที่น่าสนใจ และรู้สึกว่าชอบกับวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่









ที่พักคืนนี้ คนเชื้อสายจีนเป็นเจ้าของ เห็นรูปในหลวงกับKingทั้งโลก ติดอยู่บนผนัง ทำให้รู้สึกปลื้มยังไงไม่รู้ เค้ายังคงมีรูปสมเด็จพระนโรดมสีหนุ และสมเด็จพระนโรดมสีหมุนี  ประดับตามบ้านเรือนทั่วไป ถึงแม้ปัจุบัน การปกครองที่นี่จะเปลี่ยนไปแล้ว  ผมก็เชื่อว่าในใจประชาชนชาวกัมพูชาทั้งหลาย ยังคงมีสมเด็จพระนโรดมสีหนุและราชวงศ์อยู่เสมอ เปรียบเช่นคนไทยที่รักในหลวงกันทุกคน













ได้เจอกับหนุ่มCanadianเดินทางคนเดียว  พักที่เดียวกัน  เค้ากะมาเที่ยวรอบโลกให้ทั่ว ภายใน2ปี ไม่ได้ถามว่าทำงานอะไร  เพิ่งเรียนจบมาเหรอ  หรือถามมันว่า มึงบ้ารึป่าว แต่วิธีการเที่ยวนั้นสิแปลก คือเค้าเริ่มเดินทางจากบ้านที่Canada มายุโรป ไปแทบครบประเทศโซนนั้น และมาไทย ต่อด้วยกัมพูชา นอกจากตั๋วเครื่องบินที่จำเป็นต้องซื้อแล้ว นอกนั้นการไปแต่ละที่ จะใช้วิธี โบกรถไปด้วยเท่านั้น  ถ้ายังไม่มีรถคันไหนรับไปด้วย หนุ่มคนนี้ก็จะแบกเป้ใบใหญ่ของเค้า เดินไปตามทางเรื่อยๆ และมีเต๊นท์ส่วนตัวพร้อมกางนอนได้ทุกที่  โดยไม่กลัวว่าจะถูก งูกัดตาย ถูกปล้น หรือโดนเชือด ล่าสุดก่อนเข้ากัมพูชา เค้าไปกางเต๊นท์นอนอยู่ในไร่อ้อยหรือไร่ข้าวโพดนี่แหล่ะ แถวๆชายแดนไทยก่อนเข้าด่าน จนตกดึก ชาวบ้านแห่มาดูกัน นึกว่าตัวอะไรมาบุกไร่เค้า พอเช้าก็มีพี่คนขับ10ล้อใจดี พาติดรถ นั่งกินฝุ่น จนมาถึงด่าน  แต่แถวยุโรป หนุ่มคนนี้โบกรถไม่ค่อยเป็นผล เพราะชาวฝรั่งผิวขาวด้วยกันไม่ค่อยจอดรับอาจจะเป็นเพราะมีกฏหมายห้ามไว้  แต่มาเอเซีย คนที่นี่จะให้ไปด้วยง่ายกว่ามาก คงคิดว่ารับฝรั่งไปด้วยน่าจะปลอดภัยกว่า ที่จะรับคนหัวดำเหมือนกัน  ผมก็ว่าจริงนะ...

ต่อจากกัมพูชา ผมก็แนะนำให้ไปลาวใต้แล้วขึ้นไปเหนือจนสุด แล้วก็ไปพม่าต่อ เค้าก็ดูเหมือนจะรับคำแนะนำไว้  เค้าบอกว่า ไม่เคยได้วางแผนหรอก  ว่าจะต้องไปไหน  ถ้ามันคิดว่าอยากไป  ก็ไปเลย เตรียมตัวไม่นาน   ก็ได้แต่ทึ่งกับความคิด ในการเดินทางแบบนี้เหมือนกัน  ขอไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย ที่จะเอาอย่าง ก็แล้วกันนะพ่อหนุ่ม Canadian
วันนี้ขี่สบายๆ รวม 270km

1feb14   เช้านี้ขี่เข้าเมืองชั้นใน ไปชมที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากของกัมพูชา เป็นที่ๆให้เห็นถึงความโหดร้ายจากการปกครองของยุคเขมรแดง แต่เดิมเคยเป็นโรงเรียนมัธยม แล้วก็เปลี่ยนเป็น คุกที่ไว้คุมขังและฆ่าคนที่คิดว่าเป็นศัตรู ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ให้ชื่อว่า S-21 หรือ คุกTuol Sleng  คงไม่ต้องเล่ารายละเอียดใดๆให้มากมายกับสถานที่นี้ ท่านสามารถค้นหาอ่านในwebsiteได้เอง แต่ต้องขอบอกเลยว่า แค่ได้เข้าไปสัมผัสกับสถานที่จริง มันก็ทำให้รู้สึกหดหู่  รับรู้ได้ถึงความโหดร้าย  ที่ทำต่อมนุษย์ด้วยกัน  


    


ผมได้ขึ้นไปบนตึก ชั้นที่ยังเป็นห้องขัง  เดินเข้าไปคนเดียวตอนกลางวันแสกๆ  ถึงแม้จะล่วงเลยมา40ปีได้จากยุคนั้น ผมก็รู้สึกว่ามีพลังบางอย่างอยู่รอบๆตัว   หายใจไม่ค่อยสะดวก ได้แต่ทำจิตนิ่งๆแผ่เมตตาให้ไป   และวันนี้  ที่13มีนาคม ผมกำลังนั่งเขียนเรื่องนี้อยู่ที่เยอรมัน   ในไฟล์บินที่ผมทำงานมา  ได้คุยกับน้องแอร์คนหนึ่งชื่อน้องแจง    ซึ่งเธอชอบไปปฏิบัติธรรม  เธอบอกว่าตั้งแต่ขึ้นเครื่องมาจากสุวรรณภูมิ  เธอรู้สึกแน่นๆเหมือนมีอะไรผ่านร่างเธอ  มันเยอะมาก  จนระหว่างที่ว่างจากงานบนเครื่อง  ผมจึงเอารูปไปโชว์เล่นว่า  ได้ขี่รถไปเที่ยวที่คุกนี่มา  และว่าจะไปทำบุญให้เค้าเหล่านั้น  แต่ผมยังไม่ว่างไป  กะว่าจะไปทำหลังจากกลับถึงกรุงเทพ   น้องแอร์คนนี้ ตาโตพูดเสียงแข็ง บอกผมว่า... พี่กรวดน้ำบนเครื่องก่อนก็ดีนะคะพี่ เพราะเค้าตามพี่มาเยอะเลย....
โอ้ว...น้องเอ๊ยย!   ขนหัวลุกสิคราวนี้   นึกว่าแผ่เมตตาไปแล้ว จะได้รับกันครบ อุตส่าห์ตามมาด้วยกันอีก เลยถามน้องแจงต่อไปว่า  เห็นอะไรรึปล่าว หรือว่ารู้สึกได้  น้องแจงบอกว่า  หนูรู้สึกตั้งแต่ขึ้นเครื่องแล้วค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเค้าเหล่านั้นมากับใคร  แต่พอพี่บอกหนู   ก็ใช่เลยค่ะ เค้าทรมาน และรู้ว่าเราช่วยเค้าได้  เค้าจึงตามพี่มา  ถึงภาษาจะคุยไม่รู้เรื่อง ทั้งทหารที่คุม และนักโทษที่โดนฆ่า ต่างยังยึดติดกับสิ่งที่เค้าคิด  ต้องให้เค้าวางสิ่งเหล่านั้น  และให้เค้าน้อมใจให้พุทธศาสนา   เพราะเค้าไม่มีศาสนาและไม่นับถือสิ่งใด  ทำให้ไม่สามารถรับบุญ หรือการแผ่เมตตาที่เราส่งไปได้   จากนั้นน้องแจง  เธอก็หายไปท้ายเครื่อง   สวดมนต์กรวดน้ำไปซะ3รอบ   ก่อนลงที่เยอรมัน  น้องแจงใบหน้ายิ้มขึ้น  มาบอกผมว่า  ตอนนี้เค้าดีขึ้นแล้วค่ะ มาตามหนูแทน เพราะถึงไทยแล้ว หนูจะไปทำบุญที่ วัดร่มโพธิธรรม จ.เลย พอดี  ก็จะไปให้หลวงพ่อที่นั่น  ช่วยปลดปล่อยเค้าเหล่านั้นให้นะคะ 
.....ผมไม่รู้ว่าท่านที่อ่านจะรู้สึกยังไง แต่ผมน่ะ เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน  ที่พาวิญญาณเหล่านั้นมาถึงเยอรมันเลยสิครับ   ดีนะที่ดวงจะได้เจอน้องคนนี้  ทั้งที่ไฟล์บินนี้ก็ไม่ใช่ของผม  ก่อนหน้านี้มีพี่อีกคนขอแลกเวรขยับวันมา  ดูเผินๆก็เหมือนเป็นความบังเอิญ  ก็คิดเสียว่าเราคงมีบุญมากพอที่จะช่วยเหลือเค้าได้   บุญจึงนำพาเค้าทั้งหลาย มาพบกับคนที่ปฏิบัติจริง และพาไปสู่ทางสว่างได้....สาธุ     บางทีเรื่องแบบนี้ก็น่าจะศึกษาไว้บ้างนะครับ ผมน่ะเชื่อว่ามีจริง แต่ไม่ขอเจอ OKนะ...





อ้าว...มาว่ากันต่อ เอาเป็นว่าจบเรื่องคุก เลยก็แล้วกันนะครับ  พิมพ์ไป เสียวสันหลังไป เหมือนกับว่ามารอดูว่าเราจะเขียนว่ายังไงกับเค้า เฮ้อ!



ตอนกลับจากคุก เจอกลุ่มพี่เบิ้มๆ หมายถึงตัวโตครับ ขี่รถวิบากมาเที่ยวกัมพูชาเหมือนกัน เลยขอถ่ายรูปไว้ ในฐานะ คนคอเดียวกัน เราเด่นสุด เพราะสูงน้อยสุด สั้นสุดด้วย .......ขานะครับ^^
ข้ามมาเมืองต่อไป นั่นก็คือเมืองSenmonorom ในจังหวัดมณฑลคีรี หรือฉายาก็คือ เมืองสวิตเซอร์แลนด์ของกัมพูชา ระยะทางค่อนข้างไกล แต่กว่าจะเข้าเขต ทางขึ้นภูเขา แดดก็หมดพอดี   ขี่มืดๆ โค้งเยอะๆ บนเขาคนเดียว มันก็เปลี่ยว เสียวสันหลังเหมือนกัน  
 
 
 
 
 
 


 ป่าไม้แถวนี้เยอะ แต่ก็เห็นการถางป่า เผาป่า นำไม้มาแปรรูป กันข้างทาง บ้างก็เรียงกองไว้รอขาย หรือไม่ก็สร้างเป็นหลังๆ รอคนมาซื้อ แถวไหนคนอยู่เยอะ สุนัขก็เยอะตาม มันก็จะชอบข้ามถนน ให้เราขี่ชนด้วยเหมือนกัน 
ตลอด3วันมานี่ เห็นบ้านริมทาง จัดงานแต่งกัน กันเกือบ10งาน สงสัยฤกษ์จะดีทุกวัน    ทางลาดยาง วิ่งสบายๆ 90-100km/h มีปั้มน้ำมันให้เติมตลอดทาง ถังเล็กๆอย่างKLX250 เพียง7.7ลิตร ไฟจะเตือนประมาณkmที่150 แต่ก็ไปต่อได้อีก40km แต่ผมจะพยายามแวะเติมทุกๆ100km จะได้ลดความเมื่อย โดยเฉพาะเมื่อยตูด
ปั้มน้ำมันมีแบบธรรมดาและพิเศษ ราคาคิดเป็นไทยก็ตกประมาณ35-42บาท จ่ายเป็นUS$และเงินเรียลได้  จึงเตรียมเงินย่อยฉบับละ1$กับ5$ มาพร้อม  การขับขี่ก็ต้องระวังเพื่อนร่วมใช้ถนน และฝูงสัตว์บ้าง
 ขี่ช้าๆได้ทั้งปลอดภัย และชมวิว2ข้างทางได้ละเอียดขึ้น หลายๆที่  ขี่ผ่านสิ่งที่ดูน่าสนใจ  จนต้องขี่วนรถกลับมาดู หรือแซงไปจอดรอ   เพื่อดักถ่ายรูปบ่อยมาก อย่างน้อยถ่ายรูปเก็บไว้ มาเล่าให้คนอื่นฟังสนุกๆก็ยังดี   ไม่ตะบี้ตะบันขี่อย่างเดียว เหมือนสมัยรุ่นๆ ที่ เอาเร็ว เอาแรง  ถึงก่อนเพื่อน   เมาก่อนเพื่อน...


จนได้มาถึงเมืองแสน มโนรม ประมาณทุ่ม ขี่หาที่พักก่อนเลย ได้เลยตัวเมืองมาหน่อย แต่ดูดีมาก คืนละ10$  แปลงกายซักชุดขี่เหมือนทุกๆวัน   ขี่มาหาร้านค้าในเมือง ของกินมีหลากหลาย สไตล์เมืองต่างจังหวัด อากาศน่าจะประมาณ20C’  ทั้งวันขี่มา 423km
                                                             End of part1

2 ความคิดเห็น:

  1. สุดยอดมากครับ มีโอกาสขอร่วมทริปด้วยนะครับ ชอบแบบนี่แหละ ลุยดี

    ตอบลบ
  2. จัดอีกเมื่อไรบอก...จะไปด้วย

    ตอบลบ